จะมีสักกี่คนที่มีความรู้ว่าเครื่องสำอางหลายชนิด มีส่วนผสม AHA
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างออกไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ผลิตพยายามสรรหาส่วนผสมในเครื่องสำอางออกมาดึงดูดลูกค้า
ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ผู้เชี่ยวชาญด้านด้าน Antiaging Medicine อธิบายถึงสารพิเศษในเครื่องสำอางว่า ในเครื่องสำอางมีส่วนประกอบของส่วนผสมต่างๆ แต่ผู้บริโภคจำนวนมากไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ซื้อมาใช้ และไม่รู้ว่าสารพิเศษแต่ละชนิดมีคุณสมบัติอย่างไร มีส่วนทำให้ผิวพรรณของตัวเองดีขึ้นได้อย่างไร
AHA (Alphahydroxy acid) เป็นสารที่พบในผลไม้และพืชผักหลายชนิด เป็นสารสกัดจากธรรมชาติพบได้ในแอปเปิ้ล ลูกพีช อ้อย องุ่น มะขาม สตรอเบอร์รี่ แครอต แตงกวา และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
สารตัวนี้รู้จักมานานแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณโดยผู้หญิงตะวันตกได้มีการนำไวน์เก่ามาทาผิวเพื่อรักษาผิวพรรณ บางครั้งก็ใช้องุ่น แตงกวา หรือมะเขือเทศ มาทาบริเวณใบหน้า แต่เดิมการใช้ AHA เพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น โรคผิวแห้ง โรคผิวหนังแข็งนูน เป็นสะเก็ดจากแสงแดด รอยกระสีคล้ำมีลักษณะเป็นปื้นใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุจากแสงแดด นอกจากนี้ AHA ยังมีประโยชน์กับการลอกผิว รักษาหูด รอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด หรือรอยคล้ำ
จากคุณสมบัติของ AHA จึงทำให้วงการเครื่องสำอางนำมาพัฒนา เติมสารตัวนี้ลงไปในเครื่องสำอาง ให้มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวพรรณให้ดูอ่อนนุ่ม ลดรอยเหี่ยวย่น เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของ AHA จะเป็นตัวการสำคัญในการควบคุมสมดุลของความชุ่มชื้นของผิวให้เป็นปกติ ช่วยกระตุ้นเซลล์ที่ตายแล้วแต่ยังจับกันแน่นให้หลุดออก ทำให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน ทำให้ผิวหนังดูสดใส ช่วยรักษาสิวเสี้ยน และทำให้มีการลอกหลุดของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า จึงสามารถรักษาโรคขนคุด โรคหูด และยังสามารถเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน และองค์ประกอบในหนังกำพร้า จึงนำมารักษาแผลเป็นตื้นๆ ได้ แต่ข้อเสียคือเวลาใช้อาจเกิดการระคายเคือง รู้สึกตึงหรือคันยิบๆ ได้
AHA ที่นำมาใช้มีหลายชนิด เช่น กรดไกลโคลิก ซึ่งได้มาจากอ้อย กรดแล็กติกได้จากนำเปรี้ยว กรดมาลิก ได้จากแอปเปิ้ล กรดทาร์ทาริก ได้จากมะขามหรือไวน์ที่บ่มนานๆ กรดซิตริกได้จากผลไม้จำพวกส้มชนิดต่างๆ
ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสม AHA ปกติจะใช้ความเข้มข้นของกรดต่ำ ประมาณร้อยละ 4-6 ส่วนที่ทำขึ้นในโรงพยาบาลหรือคลินิกแพทย์ผิวหนัง AHA ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ประมาณร้อยละ 40-70 เพื่อปรับสภาพผิวลบริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นๆ รอยดำคล้ำ รอยแผลเป็นจากสิว โดยใช้ระยะเวลาต่างๆ กันตามดุลพินิจของแพทย์
แพทย์มักแนะให้ผู้ใช้ เมื่อทาน้ำยาแล้วให้ล้างออก และประคบเย็น โดยให้ทำทุก 2-4 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน และทำซ้ำทุก 1-2 เดือน หลังจากนั้นอาจใช้ AHA ความเข้มข้นต่ำมาใช้เองที่บ้าน เพื่อคงสภาพผิวให้สดใสและนุ่มเนียนตลอดเวลา
ต้องจำไว้เสมอว่าหลังทำ AHA treatment ถ้าเป็นไปได้ควรทายากันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดด หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีต่างๆ หรือสบู่ชนิดแรงบริเวณผิวหน้า 4-5 วัน เพราะอาจทำให้ผิวลอกมากและไหม้ได้ และหลังจากนั้นก็ใช้เครื่องสำอางและยาอื่นได้ตามความปกติ
ในบางประเทศถือว่า AHA เป็นยาเหมือนกรดวิตามินเอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการและหน้าที่ของผิวหนัง จึงต้องให้แพทย์เท่านั้นเป็นผู้ตรวจและสั่งยา ขณะที่การทำเบบี้เฟรซตามร้านเสริมสวยในเมืองไทย ใช้กรดซึ่งรุนแรงกว่า AHA โดยผู้ทำส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ จึงน่าวิตกว่าถ้าทำด้วยขั้นตอนที่ไม่ถูกหลักจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงและเกิดอันตรายต่อใบหน้าได้
ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ผู้เชี่ยวชาญด้านด้าน Antiaging Medicine อธิบายถึงสารพิเศษในเครื่องสำอางว่า ในเครื่องสำอางมีส่วนประกอบของส่วนผสมต่างๆ แต่ผู้บริโภคจำนวนมากไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ซื้อมาใช้ และไม่รู้ว่าสารพิเศษแต่ละชนิดมีคุณสมบัติอย่างไร มีส่วนทำให้ผิวพรรณของตัวเองดีขึ้นได้อย่างไร
AHA (Alphahydroxy acid) เป็นสารที่พบในผลไม้และพืชผักหลายชนิด เป็นสารสกัดจากธรรมชาติพบได้ในแอปเปิ้ล ลูกพีช อ้อย องุ่น มะขาม สตรอเบอร์รี่ แครอต แตงกวา และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
สารตัวนี้รู้จักมานานแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณโดยผู้หญิงตะวันตกได้มีการนำไวน์เก่ามาทาผิวเพื่อรักษาผิวพรรณ บางครั้งก็ใช้องุ่น แตงกวา หรือมะเขือเทศ มาทาบริเวณใบหน้า แต่เดิมการใช้ AHA เพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น โรคผิวแห้ง โรคผิวหนังแข็งนูน เป็นสะเก็ดจากแสงแดด รอยกระสีคล้ำมีลักษณะเป็นปื้นใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุจากแสงแดด นอกจากนี้ AHA ยังมีประโยชน์กับการลอกผิว รักษาหูด รอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด หรือรอยคล้ำ
จากคุณสมบัติของ AHA จึงทำให้วงการเครื่องสำอางนำมาพัฒนา เติมสารตัวนี้ลงไปในเครื่องสำอาง ให้มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวพรรณให้ดูอ่อนนุ่ม ลดรอยเหี่ยวย่น เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของ AHA จะเป็นตัวการสำคัญในการควบคุมสมดุลของความชุ่มชื้นของผิวให้เป็นปกติ ช่วยกระตุ้นเซลล์ที่ตายแล้วแต่ยังจับกันแน่นให้หลุดออก ทำให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน ทำให้ผิวหนังดูสดใส ช่วยรักษาสิวเสี้ยน และทำให้มีการลอกหลุดของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า จึงสามารถรักษาโรคขนคุด โรคหูด และยังสามารถเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน และองค์ประกอบในหนังกำพร้า จึงนำมารักษาแผลเป็นตื้นๆ ได้ แต่ข้อเสียคือเวลาใช้อาจเกิดการระคายเคือง รู้สึกตึงหรือคันยิบๆ ได้
AHA ที่นำมาใช้มีหลายชนิด เช่น กรดไกลโคลิก ซึ่งได้มาจากอ้อย กรดแล็กติกได้จากนำเปรี้ยว กรดมาลิก ได้จากแอปเปิ้ล กรดทาร์ทาริก ได้จากมะขามหรือไวน์ที่บ่มนานๆ กรดซิตริกได้จากผลไม้จำพวกส้มชนิดต่างๆ
ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสม AHA ปกติจะใช้ความเข้มข้นของกรดต่ำ ประมาณร้อยละ 4-6 ส่วนที่ทำขึ้นในโรงพยาบาลหรือคลินิกแพทย์ผิวหนัง AHA ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ประมาณร้อยละ 40-70 เพื่อปรับสภาพผิวลบริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นๆ รอยดำคล้ำ รอยแผลเป็นจากสิว โดยใช้ระยะเวลาต่างๆ กันตามดุลพินิจของแพทย์
แพทย์มักแนะให้ผู้ใช้ เมื่อทาน้ำยาแล้วให้ล้างออก และประคบเย็น โดยให้ทำทุก 2-4 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน และทำซ้ำทุก 1-2 เดือน หลังจากนั้นอาจใช้ AHA ความเข้มข้นต่ำมาใช้เองที่บ้าน เพื่อคงสภาพผิวให้สดใสและนุ่มเนียนตลอดเวลา
ต้องจำไว้เสมอว่าหลังทำ AHA treatment ถ้าเป็นไปได้ควรทายากันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดด หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีต่างๆ หรือสบู่ชนิดแรงบริเวณผิวหน้า 4-5 วัน เพราะอาจทำให้ผิวลอกมากและไหม้ได้ และหลังจากนั้นก็ใช้เครื่องสำอางและยาอื่นได้ตามความปกติ
ในบางประเทศถือว่า AHA เป็นยาเหมือนกรดวิตามินเอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการและหน้าที่ของผิวหนัง จึงต้องให้แพทย์เท่านั้นเป็นผู้ตรวจและสั่งยา ขณะที่การทำเบบี้เฟรซตามร้านเสริมสวยในเมืองไทย ใช้กรดซึ่งรุนแรงกว่า AHA โดยผู้ทำส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ จึงน่าวิตกว่าถ้าทำด้วยขั้นตอนที่ไม่ถูกหลักจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงและเกิดอันตรายต่อใบหน้าได้
ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline
https://mgronline.com/qol/detail/9500000043908
https://mgronline.com/qol/detail/9500000043908