เอเอชเอในเครื่องสำอางช่วยชะลอความชราได้จริงหรือ
ผิวพรรณของผู้หญิงเราจะดูสดใส เต่งตึง มีน้ำมีนวลมากที่สุดก็ในช่วงวัยอายุ 20 ปี ซึ่งเซลล์ต่างๆ จะทำหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่ก็ขึ้นมาทดแทนที่ได้ทันที แต่พออายุย่างเข้าเลข 3 เลข 4 กระบวนการตามธรรมชาติ นี้ก็เริ่มมีปัญหา การแบ่งตัวของเซลล์จะไม่ค่อยดี เซลล์เก่าที่ตายแล้วมักไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ ขณะเดียวกันก็เกาะรวมกันไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ๆขึ้นมาทำหน้าที่หมุนเวียน ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำด้วยแสงแดดและมลภาวะยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก
ตอนนี้เองที่กรดผลไม้เข้ามามีบทบาทในการ ช่วยผลัดเซลล์ผิว(แก่ๆ) ด้วยการทำหน้าที่เสมือนกรรไกรคอยตัดเซลล์ที่เกาะกันอยู่ให้แยกจากกัน และหลุดลอกออกไปในที่สุด พูดง่ายๆ คือ กรดผลไม้จะช่วยให้เซลล์เก่าๆบนผิวหน้าของเราหลุดออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ(บริเวณหนังกำพร้า)เจริญขึ้นมาแทนที่ พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้น หนังแท้ด้วย (ถ้าใช้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม (เล็กน้อย)
โดยความเป็นจริง ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าของเราที่สามารถรักษาได้ด้วยกรดผลไม้นั้น หมายถึงริ้วรอยที่ไม่ลึกนัก ซึ่งหากเป็นรอยตื้นๆ มักจะดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยขนาดปานกลางจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนขึ้นไป แต่หากริ้วรอยลึกมากกรดผลไม้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงแต่โดยดี
สำหรับความเข้มข้นของกรดผลไม้ที่จะให้ผลตามที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องมีความเป็นกรดและต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป (20-70 เปอร์เซ็นต์) ถ้ามีความเข้มข้น มากก็ย่อมได้ผลมากขึ้น แต่ความระคายเคืองของผิวหนังก็จะตามมาด้วย ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้จริง (เป็นการ ใช้เพื่อรักษาผู้ที่มีปัญหาบริเวณใบหน้า)
ส่วนกรดผลไม้ที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางที่โฆษณาว่าช่วยชะลอ ความชราหรือลดริ้วรอยต่างๆนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะความเข้มข้นต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ (แต่ปลอดภัยในแง่ที่ว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวและไม่ไวต่อแสงแดด)
ส่วนที่ผู้หญิงหลายๆคน นิยมนำเอามะเขือเทศ หรือแตงกวามาพอกหน้าเพื่อให้ผิวเนียนนุ่มนั้น ก็คงช่วยได้บ้างเล็กน้อยในขณะที่ทำ เพราะฤทธิ์ของกรดเอเอชเอไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร เพราะกรดเอเอชเอในผักผลไม้สดมีอยู่จำนวนเล็กน้อย ไม่เหมือนกับที่ใช้ในทางการแพทย์ ที่ต้องผ่านกระบวนการสกัดเพื่อให้ได้กรดเอเอชเอบริสุทธิ์ มาผสมเป็นยาในขนาดความเข้มข้นสูงๆ
ผลข้างเคียงของกรดเอเอชเอ
กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูง แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการขจัดเซลล์ผิวแก่ๆ ให้หลุดลอกเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นผลให้ผิวหนังดูเรียบเนียน สดใสขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เกิดผื่นคัน และไวต่อแสงแดด(แพ้แสงแดด)ได้มากเช่นกัน บางครั้งจะทำให้เกิดรอยดำ โดยเฉพาะในผิวคนไทย ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นด้วย
การที่ไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกสุด ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเซลล์ผิวชั้นล่างๆ รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการติดเชื้อ ต่อต้านมลภาวะ โดยเฉพาะแสงยูวี อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ทำให้มีข้อสงสัยว่า การใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อผิวหนังอย่างไร และการใช้เป็นระยะเวลานานก็ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่นอนว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แม้แต่การใช้โดยแพทย์เองก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการแพ้ แต่แพทย์จะทราบว่าเมื่อมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขอย่างไร
คำแนะนำในการใช้กรดเอเอชเอ
1. เลือกใช้เอเอชเอที่รู้ความเข้มข้นของสูตร ใช้ในระดับที่ไม่สูงจนเกิดความระคายเคือง
2. ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเป็นประจำทุกวัน
3. หากใช้แล้วเกิดระคายเคืองหรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที แล้วรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
4. การใช้เอเอชเอต้องใช้อย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ ผิวก็จะเหมือนเดิม
5. สำหรับวัยสาวที่ผิวพรรณดูดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เลย
ตอนนี้เองที่กรดผลไม้เข้ามามีบทบาทในการ ช่วยผลัดเซลล์ผิว(แก่ๆ) ด้วยการทำหน้าที่เสมือนกรรไกรคอยตัดเซลล์ที่เกาะกันอยู่ให้แยกจากกัน และหลุดลอกออกไปในที่สุด พูดง่ายๆ คือ กรดผลไม้จะช่วยให้เซลล์เก่าๆบนผิวหน้าของเราหลุดออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ(บริเวณหนังกำพร้า)เจริญขึ้นมาแทนที่ พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้น หนังแท้ด้วย (ถ้าใช้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม (เล็กน้อย)
โดยความเป็นจริง ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าของเราที่สามารถรักษาได้ด้วยกรดผลไม้นั้น หมายถึงริ้วรอยที่ไม่ลึกนัก ซึ่งหากเป็นรอยตื้นๆ มักจะดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยขนาดปานกลางจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนขึ้นไป แต่หากริ้วรอยลึกมากกรดผลไม้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงแต่โดยดี
สำหรับความเข้มข้นของกรดผลไม้ที่จะให้ผลตามที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องมีความเป็นกรดและต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป (20-70 เปอร์เซ็นต์) ถ้ามีความเข้มข้น มากก็ย่อมได้ผลมากขึ้น แต่ความระคายเคืองของผิวหนังก็จะตามมาด้วย ซึ่งควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้จริง (เป็นการ ใช้เพื่อรักษาผู้ที่มีปัญหาบริเวณใบหน้า)
ส่วนกรดผลไม้ที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางที่โฆษณาว่าช่วยชะลอ ความชราหรือลดริ้วรอยต่างๆนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะความเข้มข้นต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ (แต่ปลอดภัยในแง่ที่ว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวและไม่ไวต่อแสงแดด)
ส่วนที่ผู้หญิงหลายๆคน นิยมนำเอามะเขือเทศ หรือแตงกวามาพอกหน้าเพื่อให้ผิวเนียนนุ่มนั้น ก็คงช่วยได้บ้างเล็กน้อยในขณะที่ทำ เพราะฤทธิ์ของกรดเอเอชเอไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร เพราะกรดเอเอชเอในผักผลไม้สดมีอยู่จำนวนเล็กน้อย ไม่เหมือนกับที่ใช้ในทางการแพทย์ ที่ต้องผ่านกระบวนการสกัดเพื่อให้ได้กรดเอเอชเอบริสุทธิ์ มาผสมเป็นยาในขนาดความเข้มข้นสูงๆ
ผลข้างเคียงของกรดเอเอชเอ
กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูง แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีในการขจัดเซลล์ผิวแก่ๆ ให้หลุดลอกเร็วขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ เป็นผลให้ผิวหนังดูเรียบเนียน สดใสขึ้น แต่ขณะเดียวกัน กรดเอเอชเอในปริมาณความเข้มข้นสูงทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เกิดผื่นคัน และไวต่อแสงแดด(แพ้แสงแดด)ได้มากเช่นกัน บางครั้งจะทำให้เกิดรอยดำ โดยเฉพาะในผิวคนไทย ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นด้วย
การที่ไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกสุด ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเซลล์ผิวชั้นล่างๆ รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการติดเชื้อ ต่อต้านมลภาวะ โดยเฉพาะแสงยูวี อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งและริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ทำให้มีข้อสงสัยว่า การใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อผิวหนังอย่างไร และการใช้เป็นระยะเวลานานก็ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่นอนว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แม้แต่การใช้โดยแพทย์เองก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการแพ้ แต่แพทย์จะทราบว่าเมื่อมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขอย่างไร
คำแนะนำในการใช้กรดเอเอชเอ
1. เลือกใช้เอเอชเอที่รู้ความเข้มข้นของสูตร ใช้ในระดับที่ไม่สูงจนเกิดความระคายเคือง
2. ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเป็นประจำทุกวัน
3. หากใช้แล้วเกิดระคายเคืองหรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที แล้วรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
4. การใช้เอเอชเอต้องใช้อย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ ผิวก็จะเหมือนเดิม
5. สำหรับวัยสาวที่ผิวพรรณดูดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
www.doctor.or.th/article/detail/2694
www.doctor.or.th/article/detail/2694