AHA คุณสมบัติ ช่วยชะลอความชรา
กรดผลไม้ หรือ AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจาก alpha hydroxy acid กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดคือ กรดไกลคอลิก (glycolic acid) ซึ่งได้จากน้ำอ้อยและองุ่นดิบ ที่รู้จักรองลงมาคือ กรดแล็กติก (lactic acid) ซึ่งมาจากน้ำมะเขือเทศ และนมเปรี้ยว
นอกจากนี้ยังมีกรดผลไม้ที่ได้จากแอปเปิลคือ กรดมาลิก (malic acid) จากองุ่นและไวน์คือ กรดตาร์ตาริก (tartaric acid) จากส้มและสับปะรดคือ กรดซิตริก (citric acid)
ปัจจุบัน AHA นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นว่าช่วย
ชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อนวัย เพราะ AHA มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชราได้ โดยผิวพรรณของผู้หญิงเราจะดูสดใส เต่งตึง มีน้ำมีนวลมากที่สุดก็ในช่วงวัยอายุ 20 ปี ซึ่งเซลล์ต่างๆ จะทำหน้าที่ของมัน
อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่ก็ขึ้นมาทดแทนที่ได้ทันที แต่พออายุย่างเข้าเลข 3 เลข 4 กระบวนการตามธรรมชาตินี้ก็เริ่มมีปัญหา การแบ่งตัวของเซลล์จะไม่ค่อยดี เซลล์เก่าที่ตายแล้ว
มักไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ ขณะเดียวกันก็เกาะรวมกันไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ๆขึ้นมาทำหน้าที่หมุนเวียน ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำด้วยแสงแดด และมลภาวะยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก
ตอนนี้เองที่ AHA มามีบทบาทในการ ช่วยผลัดเซลล์ผิว ด้วยการทำหน้าที่เสมือนกรรไกรคอยตัดเซลล์ที่เกาะกันอยู่ให้แยกจากกัน และหลุดลอกออกไปในที่สุด พูดง่ายๆ คือ AHA จะช่วยให้
เซลล์เก่าๆบนผิวหน้าของเราหลุดออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ (บริเวณหนังกำพร้า) เจริญขึ้นมาแทนที่ พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้นหนังแท้ด้วย
(ถ้าใช้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม
หลายคนนิยมนำเอามะเขือเทศ หรือแตงกวามาพอกหน้าเพื่อให้ผิวเนียนนุ่มนั้น ก็คงช่วยได้บ้างเล็กน้อยในขณะที่ทำ เพราะฤทธิ์ของ AHA ไม่มีผล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร
เพราะ AHA ในผักผลไม้สด มีอยู่จำนวนเล็กน้อย (น้อยกว่า 5%) โดยทั่วไป การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ในรูปแบบครีมทาผิวที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 10% ค่อนข้างปลอดภัย แต่หาก
ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 10% ขึ้นไป ควรได้รับการดูแลภายใต้การควบคุมดูแลจากคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนผู้ที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตรก็สามารถใช้
ครีมทาผิว AHA ได้ที่ความเข้มข้นไม่เกิน 10% แต่ไม่ควรบริโภค AHA ในรูปแบบอื่น เช่น ไม่ควรรับประทานกรดมาลิก เพราะยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในแม่ และเด็กทารกจากการใช้กรดชนิดนี้
นอกจากนี้ยังมีกรดผลไม้ที่ได้จากแอปเปิลคือ กรดมาลิก (malic acid) จากองุ่นและไวน์คือ กรดตาร์ตาริก (tartaric acid) จากส้มและสับปะรดคือ กรดซิตริก (citric acid)
ปัจจุบัน AHA นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และติ่งเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ และวงการเครื่องสำอางที่ชูประเด็นว่าช่วย
ชะลอริ้วรอยไม่ให้แก่ก่อนวัย เพราะ AHA มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชราได้ โดยผิวพรรณของผู้หญิงเราจะดูสดใส เต่งตึง มีน้ำมีนวลมากที่สุดก็ในช่วงวัยอายุ 20 ปี ซึ่งเซลล์ต่างๆ จะทำหน้าที่ของมัน
อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์เก่าตายเซลล์ใหม่ก็ขึ้นมาทดแทนที่ได้ทันที แต่พออายุย่างเข้าเลข 3 เลข 4 กระบวนการตามธรรมชาตินี้ก็เริ่มมีปัญหา การแบ่งตัวของเซลล์จะไม่ค่อยดี เซลล์เก่าที่ตายแล้ว
มักไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ ขณะเดียวกันก็เกาะรวมกันไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ๆขึ้นมาทำหน้าที่หมุนเวียน ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำด้วยแสงแดด และมลภาวะยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก
ตอนนี้เองที่ AHA มามีบทบาทในการ ช่วยผลัดเซลล์ผิว ด้วยการทำหน้าที่เสมือนกรรไกรคอยตัดเซลล์ที่เกาะกันอยู่ให้แยกจากกัน และหลุดลอกออกไปในที่สุด พูดง่ายๆ คือ AHA จะช่วยให้
เซลล์เก่าๆบนผิวหน้าของเราหลุดออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ (บริเวณหนังกำพร้า) เจริญขึ้นมาแทนที่ พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้นหนังแท้ด้วย
(ถ้าใช้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม
หลายคนนิยมนำเอามะเขือเทศ หรือแตงกวามาพอกหน้าเพื่อให้ผิวเนียนนุ่มนั้น ก็คงช่วยได้บ้างเล็กน้อยในขณะที่ทำ เพราะฤทธิ์ของ AHA ไม่มีผล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร
เพราะ AHA ในผักผลไม้สด มีอยู่จำนวนเล็กน้อย (น้อยกว่า 5%) โดยทั่วไป การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ในรูปแบบครีมทาผิวที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 10% ค่อนข้างปลอดภัย แต่หาก
ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 10% ขึ้นไป ควรได้รับการดูแลภายใต้การควบคุมดูแลจากคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนผู้ที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตรก็สามารถใช้
ครีมทาผิว AHA ได้ที่ความเข้มข้นไม่เกิน 10% แต่ไม่ควรบริโภค AHA ในรูปแบบอื่น เช่น ไม่ควรรับประทานกรดมาลิก เพราะยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในแม่ และเด็กทารกจากการใช้กรดชนิดนี้